สิริมา รัตวัตเต ฑยัส พัณฑารนายกะ (
อักษรโรมัน: Sirima Ratwatte Dias Bandaranaike,
สิงหล: සිරිමා රත්වත්තේ ඩයස් බණ්ඩාරනායක; 17 เมษายน 1916–10 ตุลาคม 2000) หรือ
จิริมา รัตวัตเต ฏยัส ปัณฏารนายักเก (
ทมิฬ: சிறிமா ரத்வத்தே டயஸ் பண்டாரநாயக்கே) หรือที่รู้จักในชื่อ
สิริมาโว พัณฑารนายกะ หรือ
จิริมาโว ปัณฏารนายักเก (
อักษรโรมัน: Sirimavo Bandaranaike, โดยคำลงท้ายว่า โว เป็นคำให้เกียรติแก่สตรี
[1]) เป็นนักการเมืองชาว
ศรีลังกา ผู้ดำรงตำแหน่ง
นายกรัฐมนตรีศรีลังกาสามสมัยในปี 1960-1965 (ในเวลานั้นคือ
รัฐซีลอน), สมัยที่สองในปี 1970 ถึง 1977 และสมัยที่สามในสาธารณรัฐศรีลังกา ระหว่างปี 1994 ถึง 2000 ภายใต้ประธานาธิบดี
จัทริกา กุมารตุงคะ ซึ่งเป็นลูกสาวของเธอ การขึ้นมาดำรงตำแหน่งของเธอในปี 1960 ทำให้เธอเป็น
สตรีคนแรกของโลกที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[2] เธอเป็นประธาน
พรรคเสรีภาพศรีลังกา (SLFP) ระหว่างปี 1960 ถึง 1994ในสมัยที่เธอขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น แนวคิดเรื่องการมีสตรีเป็นผู้นำประเทศเป็นสิ่งที่ไม่มีในสาธารณชน
[3] พันฑารนายกะช่วยสร้างภาพใหม่ให้แก่ความสามารถของสตรีในระดับสากล
[4] นอกจากตัวเธอจะมีส่วนในรัฐบาลของศรีลังกาอย่างมากแล้ว ลูกของเธอก็มีส่วนอย่างมากในการเมืองของประเทศในเวลาต่อมา ลูกของเธอทั้งสามมีตำแหน่งในรัฐบาลศรีลังกา
[5][6][7][4][3] รัฐบาลโดยตระกูลพันฑารนายกะสามารถทำลาย
ระบบชนชั้นวรรณะในศรีลังกาตลอดระยะเวลาหลายปี
[1][5] ผ่านการบังคับใช้
นโยบายสังคมนิยม[8][9]ตลอดระยะเวลาสามสมัยของสิริมาโวในการเป็นนายกรัฐมนตรี เธอนำพาประเทศให้เปลี่ยนผ่านจากอดีตของการเป็นรัฐอาณานิคม สู่การเป็นสาธารณรัฐที่เป็นเอกราช ในระหว่าง
สงครามเย็น เธอนำศรีลังกาโดยใช้นโยบายสังคมนิยมซึ่งรวมถึงการรวบธุรกิจสำคัญของประเทศเป็นของรัฐ (nationalise) รวมถึงยังทำการปฏิรูปที่ดินซึ่งเป็นประโยชน์แก่คนท้องถิ่น
[3] ทั้งหมดนี้เธอมีเป้าหมายเพื่อทลายความโน้มเอียงทางการเมืองซึ่งเป็นใจให้แก่ชนชั้นนำที่ได้รับการศึกษามาแบบตะวันตก
[4] เป้าหมายหลักประการหนึ่งในหลายนโยบายของเธอคือเพื่อลดความแตกต่างทางชนชั้นสังคมและความแตกต่างทางชาติพันธุ์ในประเทศ
[10] อย่างไรก็ตาม เธอไม่สามารถตอบความต้องการของประชากรชาวทมิฬในประเทศได้เพียงพอ ซึ่งนำไปสู่การลุกฮือต่อต้านและกลายสภาพมาเป็นความรุนแรงในเวลาต่อมา
[4] พัณฑารนายกะเป็นหนึ่งในผู้สถาปนาขบวนการไม่เลือกข้าง (Non-Aligned Movement)
[3] เธอนำพาศรีลังกามามีบทบาทสำคัญในบรรดารัฐที่เสาะหาการเป็นกลางท่ามกลางอิทธิพลของรัฐมหาอำนาจ
[11] เธอพยายามสร้างพันธมิตรกับบรรดาประเทศใน
ซีกใต้ของโลก[12] และพยายามแก้ไขปัญหาโดยใช้วิธีการทางการทูต ตลอดจนต่อต้านการขยายตัวของการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ (nuclear expansion)
[13][10]